⚡ AC vs DC EV Charging ต่างกันยังไง และทำไมถึงสำคัญ
- Undefined Karin
- Oct 7
- 2 min read
เมื่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในคำถามยอดนิยมที่ผู้ขับขี่มักสงสัยคือ“การชาร์จแบบ AC กับ DC ต่างกันยังไง แล้วแบบไหนเหมาะกับฉัน?”
ไม่ว่าคุณจะชาร์จรถที่บ้าน ที่ทำงาน หรือระหว่างเดินทาง การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง AC และ DC Charging คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
ในบทความนี้ เราจะอธิบายความแตกต่างทางเทคนิค ความเร็วในการชาร์จในชีวิตจริง และกรณีการใช้งานที่เหมาะสมของแต่ละแบบ

🔋 AC Charging คืออะไร?
AC ย่อมาจาก Alternating Current (กระแสสลับ)ซึ่งเป็นรูปแบบของไฟฟ้าที่เราใช้กันตามบ้านทั่วไป เมื่อคุณเสียบปลั๊กชาร์จรถ EV เข้ากับ “เครื่องชาร์จแบบธรรมดา” (หรือที่เรียกว่า Level 1 / Level 2) นั่นคือการชาร์จแบบ AC Charging
แต่มีข้อเท็จจริงสำคัญอย่างหนึ่งคือ —แบตเตอรี่ของรถ EV ไม่ได้เก็บพลังงานในรูปแบบ AC แต่เป็น DC (Direct Current)
ดังนั้นภายในตัวรถจึงมี “อุปกรณ์แปลงไฟฟ้า” หรือ Onboard Inverter ทำหน้าที่แปลงไฟ AC ให้เป็น DC ก่อนจะเก็บในแบตเตอรี่ของคุณ
⚙️ ความเร็วของ AC Charging เป็นอย่างไร?
โดยทั่วไป AC Charging จะช้ากว่าแบบ DC แต่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการชาร์จระยะยาว เช่น
🏠 ที่บ้าน: ชาร์จข้ามคืน ช่วงวันหยุด หรือวันที่ทำงานจากบ้าน
🏢 ที่ทำงาน: ระหว่างที่จอดรถตลอดทั้งวัน
🏨 สถานที่สาธารณะ: เช่น โรงแรม ร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้า

ความเร็วโดยประมาณของ AC Charging:
กำลังไฟ (kW) | ความเร็วในการชาร์จ (กม./ชั่วโมง) |
3.7 kW (1 เฟส) | ≈ 20 กม./ชม. |
7.4 kW (1 เฟส) | ≈ 40 กม./ชม. |
11 kW (3 เฟส) | ≈ 60 กม./ชม. |
22 kW (3 เฟส) | สูงสุด ≈ 120 กม./ชม. |
💡 เคล็ดลับ:
AC Charging เหมาะสำหรับการชาร์จแบบ “เติมประจำวัน” หรือ “ชาร์จในช่วงเวลาพักยาว”
⚡ DC Charging คืออะไร?
DC ย่อมาจาก Direct Current (กระแสตรง) — และนี่คือจุดที่การชาร์จเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การชาร์จแบบ DC หรือที่เรียกว่า Fast / Rapid Chargingจะ “ข้าม” ระบบแปลงไฟในตัวรถไปเลย เพราะ การแปลงไฟจาก AC → DC จะเกิดขึ้นในตู้ชาร์จเอง
ดังนั้นพลังงาน DC จะถูกส่งเข้ารถโดยตรง ทำให้สามารถชาร์จได้เร็วกว่าแบบ AC หลายเท่า
เครื่องชาร์จ DC มักมีขนาดใหญ่และใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น
สถานีชาร์จตามทางหลวง
ศูนย์ชาร์จ EV ขนาดใหญ่
ลานจอดรถของศูนย์การค้าหรือจุดพักรถที่มีการหมุนเวียนสูง

⚡ ความเร็วของ DC Charging
DC Fast Charger สามารถชาร์จรถของคุณจาก 20% → 80% ได้ภายในเวลาเพียง 15–30 นาที
ความเร็วโดยประมาณ:
กำลังไฟ (kW) | ระยะทางที่ชาร์จได้ใน 30 นาที |
50 kW | ≈ 150 กม. |
150 kW | ≈ 300 กม. |
350 kW (Ultra-fast) | สูงสุด ≈ 400 กม. ใน 15 นาที (ขึ้นอยู่กับรุ่นของ EV) |
อย่างไรก็ตาม ความเร็วไม่เพิ่มขึ้นแบบเส้นตรง —เมื่อแบตเตอรี่เริ่มเต็ม ระบบจะค่อย ๆ ลดความเร็วในการชาร์จเพื่อปกป้องสุขภาพของแบตเตอรี่ลองนึกภาพเหมือน “การรินน้ำใส่แก้ว” — ตอนแรกเร็ว แต่พอใกล้เต็มก็ต้องค่อย ๆ ช้าลง
🔍 ตารางเปรียบเทียบ AC vs DC EV Charging


🏠 ควรใช้ AC Charging เมื่อใด?
เลือกใช้ AC Charging เมื่อ:
✅ มีเวลาชาร์จหลายชั่วโมง✅ ต้องการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้คุ้มค่า✅ ให้ความสำคัญกับสุขภาพแบตเตอรี่และอายุการใช้งาน
💡 เคล็ดลับ:ใช้เครื่องชาร์จแบบ “Smart Charging” เพื่อกำหนดเวลาชาร์จอัตโนมัติในช่วงค่าไฟถูกสุด
🚗 ควรใช้ DC Fast Charging เมื่อใด?
เลือกใช้ DC Charging เมื่อ:
✅ ต้องการชาร์จระหว่างทางแบบเร่งด่วน✅ มีการจัดการฟลีทรถ EV เชิงพาณิชย์✅ เวลาเป็นปัจจัยสำคัญกว่าต้นทุน
💡 เคล็ดลับ:การชาร์จเร็วบ่อย ๆ ไม่ได้เป็นอันตรายต่อแบตเตอรี่ในรถรุ่นใหม่แต่ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น
เพื่อยืดอายุการใช้งานระยะยาว
🔋 AC และ DC — ทำไมถึงต้องมีทั้งคู่?
ยังสงสัยอยู่ไหมว่าแบบไหน “ดีกว่า”?
ความจริงคือ…ไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้แบบไหน
🏠 AC Charging — สำหรับบ้านหรือที่ทำงาน: ชาร์จต้นทุนต่ำ ใช้พลังงานสะอาดจากโซลาร์ได้เต็มที่⚡ DC Charging — สำหรับการเดินทาง: รวดเร็ว สะดวก เหมาะกับจุดพักระหว่างทาง
ผู้ใช้ EV ส่วนใหญ่จะใช้ทั้งสองแบบร่วมกัน เพื่อครอบคลุมทุกความต้องการไม่ว่าจะชาร์จค้างคืนก่อนออกเดินทาง หรือชาร์จเร่งด่วนระหว่างทาง
🔌 สรุปสั้น ๆ
AC: ชาร์จช้า แต่เหมาะกับชีวิตประจำวัน
DC: ชาร์จเร็ว เหมาะกับการเดินทาง
ทั้งสองแบบ จำเป็นต่อระบบ EV Ecosystem ที่สะดวก ปลอดภัย และยั่งยืน
Smappee Thailandโซลูชันบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะสำหรับยุคพลังงานไฟฟ้าเชื่อมต่อการชาร์จรถ EV เข้ากับระบบพลังงานทั้งหมดในบ้านหรือธุรกิจของคุณเพื่อให้ทุกหน่วยไฟฟ้า “คุ้มค่าที่สุด”







Comments